เทศน์บนศาลา

สัญญาวิมุตติไม่มี

๔ ก.ย. ๒๕๕๒

 

สัญญาวิมุตติไม่มี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะมันจะกล่อมหัวใจของเรานะ หัวใจของเรานี้เราปล่อยมัน เราไม่มีอำนาจควบคุมมัน ทั้งๆ ที่เป็นของเรา แต่เวลาของคนอื่น เราอยากจัดการ อยากบริหารนัก แต่ของในหัวใจของเรา เราจัดการกับมันไม่ได้ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้เองโดยชอบ ชอบธรรมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาสั่งสอนนะจะเอาอะไรมาสั่งสอน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ประเสริฐนัก แล้วเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเรามีความจงใจ มีความตั้งใจที่จะเอาเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุปมาอุปไมยว่า หัวใจของเราเปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน ดูสิ ควาญช้างเขากลัวมาก เวลาช้างมันตกมันเห็นไหม เขาจะดูแลมัน มันอันตรายมาก แล้วใจของเราเปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน มันฟาดงวงฟาดงาอยู่ทั้งวันทั้งคืนเลย แล้วเราจะทำอย่างไร แต่เวลาด้วยสังคมของมนุษย์ ด้วยมารยาทสังคม เขาก็ต้องอยู่กันด้วยมารยาทสังคม ต้องตั้งสติไว้ บังคับไว้ ฝึกฝนตัวเองขึ้นมา ทำตัวเองขึ้นมา

พ่อแม่ที่ดีเลี้ยงลูกมา บังคับนะให้ลูกดี รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ฝึกสอนมาเพื่อให้สังคมดี เวลาอยู่ในสังคมเห็นไหม ถ้าเด็กคนไหนเกเรนะ เวลาเขาติฉินนินทา เขาจะว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ปล่อยให้ลูกเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าพ่อแม่สั่งสอน นี่คือลูกของเรา คือในตระกูลของเรา ถ้าละเอียดเข้ามา เรื่องในหัวใจของเรา ใครจะบังคับบัญชาได้ ใครจะบังคับบัญชาหัวใจของเราให้อยู่ในอำนาจของเราได้ มีแต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นนะ แล้วธรรมต้องเป็นสัจจะความจริง ไม่ใช่ธรรมปฏิรูป ธรรมปฏิรูปคิดเอาเองทำเอาเอง

ทั้งๆ ที่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ มันน่าสังเวช สังเวชที่ไหน สังเวชที่เราทำตัวเราเองไง เราทำตัวเราเองให้ห่างจากศีลธรรม จริยธรรม คนที่เขาไม่สนใจ ดูชาวพุทธสิ ชาวพุทธแต่ในทะเบียนบ้าน เขาก็อยู่ของเขา ทำมาหากินของเขา ขวนขวายของเขา เขาว่าเป็นชาวพุทธของเขาเห็นไหม อย่างนั้นเพราะเขาไม่สนใจ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมของเขาเท่านั้น เขาไม่ได้เข้ามาใกล้ จะผิดจะถูกก็เป็นเรื่องของเขา แต่นี่เราเข้ามาประพฤติปฏิบัตินะ เราพยายามสนใจของเรา แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรายิ่งใกล้สัจธรรมเท่าไหร่ เรายิ่งห่างมากขึ้นเท่านั้น เพราะอะไร ห่างเพราะความเห็นผิดของเราอย่างไรล่ะ แต่ถ้าเราทำให้มันถูกต้องล่ะ ถ้าทำถูกต้องดีงามเห็นไหม ดีงามที่ใคร ความดีมันมีหลากหลายนัก ดีของสัตว์ ดีของมนุษย์ ดีของเทวดา อินทร์ พรหม

เทวดา อินทร์ พรหม ดูสิ เวลาพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เขามาฟังเทศน์นะ เขามาอนุโมทนา แต่เวลาพระปฏิบัติไม่ดีล่ะ เขารังเกียจนะ เขารังเกียจของเขา เขาไม่อยากเข้าใกล้เลย เพราะอะไร เพราะมนุษย์มันคาว กลิ่นของมนุษย์ คาวของมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ไม่อยากเข้าใกล้เลย

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปเห็นไหม กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมมันกดไว้ กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม ทำให้สะอาดบริสุทธิ์ กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมนะ เราเป็นชาวพุทธ เราเคารพพุทธศาสนา กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง ความเจริญรุ่งเรืองเห็นไหม เจริญรุ่งเรืองในทฤษฎี เจริญรุ่งเรืองในทางวิชาการ ความเจริญอย่างนั้น มันเจริญ ดูสิเวลาวัดวาอารามเห็นไหม สิ่งนี้เขาสร้างกันวิจิตรพิสดาร แล้วเราไปวัดไปวาก็มีแต่พิธีกรรมกัน เห็นไหม

พระป่าครูบาอาจารย์ของเรานะ พยายามจะเน้นนักเน้นว่าสิ่งนี้มีให้น้อยที่สุด สิ่งที่มีให้น้อยที่สุดเพราะอะไร เวลาข้อวัตรปฏิบัติของพระเห็นไหม เป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย ข้อวัตรปฏิบัติคือมันขัดเกลากิเลส แต่พิธีกรรมต่างๆมันเป็นที่ซ่อนเร้นของกิเลสไง กิเลสเอาสิ่งนี้ออกหน้า เอาพิธีกรรม เอาสิ่งต่างๆ ออกหน้า แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติก็จะเอาสัจจะความจริง มันก็ทำไม่ได้เรื่องของมัน เอาแต่สิ่งที่เป็นพิธีกรรมเท่านั้น

ข้อวัตรปฏิบัติเป็นพิธีกรรมไหม มันเป็นพิธีกรรม เพราะอะไร เพราะมันเป็นกิจของสงฆ์ มันเป็นกิจนะ เวลาภัตกิจเห็นไหม วัตรในโรงไฟ วัตรในศาลา วัตรต่างๆ มันมีวัตรปฏิบัติ ในกุฎีวัตร วัตรในกุฏิของเรา วัตรในส้วมของเรา มันมีวัตรปฏิบัติ มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อวัดว่าสิ่งนี้มันเป็นความจริงไหม สิ่งที่เป็นความจริงเพราะเคารพธรรมวินัยไหม ถ้าเคารพธรรมวินัย เว้นไว้แต่ภิกษุไข้ ภิกษุป่วย เว้นไว้แต่ภิกษุผีเข้า สิ่งนั้นเว้นไว้ ภิกษุผีเข้า เวลาผีเข้า ถ้าประพฤติปฏิบัติไป เวลาถึงกับว่าสติมันหายไป ภิกษุที่มีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ เวลาผิดพลาดขึ้นไป เวลาสติสมบูรณ์แล้วก็ปลงอาบัติเอา แต่ขณะที่ผิดในเวลาสติไม่สมบูรณ์ เวลาผิดพลาดไป ยกเว้นหมดล่ะ เพราะมันควบคุมไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เห็นไหม เว้นไว้แต่คนบ้า แต่ถ้าเป็นคนดี มันต้องเคารพธรรมวินัย ตามสัจจะความจริงอันนั้น

สิ่งที่เคารพสัจจะความจริง มันเคารพตัวเองไง ถ้าเราไม่เคารพตัวเราเอง เพราะเราเหยียบย่ำตัวเราเองนะ เราคิดว่า คนอื่นเขาทำแล้ว คนอื่นเขาจัดการแล้ว เราสะดวกสบาย มันเป็นเวรเป็นกรรมหมดนะ แต่ถ้าเราจะทำ เวลาเราทำเราจะน้อยเนื้อต่ำใจ เราทำข้อวัตร เราทำสิ่งต่างๆ ขึ้นมา แล้วคนอื่นมาใช้สอย เราทำอยู่คนเดียว เราเหนื่อยอยู่คนเดียว เราทำให้เขาได้ใช้ของเรา เหมือนทางโลกเลย ทางโลกเขาเสียสละทาน เวลาเสียสละทาน เขาเสียของเขาสละออกไปเพื่ออะไร เพื่อบุญกุศลของเขา เพื่อคุณงามความดีของเขา ใครมาใช้สอยของเขา เขาก็ได้บุญกุศลของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราทำข้อวัตรปฏิบัติ คนอื่นได้มาใช้สอยเห็นไหม มันใช้สอยแรงงานของเราไง เราเป็นคนทำไง แต่ถ้าเป็นหมู่คณะทำพร้อมกันต่างๆ นี่ประเพณีวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ข้อวัตรปฏิบัตินี่เป็นที่อยู่อาศัย เป็นเครื่องอยู่ไง ถ้าเรายังหยาบอยู่อย่างนี้มันเป็นเครื่องอยู่ แต่เวลามันละเอียดเข้าไปนะ ดูสิ เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพโดยคฤหัสถ์ของเขา เขาต้องประกอบสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพของนักปฏิบัตินะ เวลามันฟุ้งซ่าน เวลามันสงบระงับ นี่อาหารของใจ วิญญาณาหาร อาหารคืออารมณ์ เห็นไหม อาหารคือความรู้สึก นี่มันกินอาหารนะ ถ้าไม่มีอารมณ์ใจมันจะแสดงออกมาได้อย่างไร ใจมันแสดงตัวออกมาเพราะมันมีความรู้สึกไง แล้วความรู้สึกที่มันแสบร้อนเห็นไหม ความรู้สึกที่มันเจ็บปวดแสบร้อน นั่นเป็นความทุกข์ นั่นล่ะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันดิ้นรนไปของมัน เห็นไหม มันชอบของมัน

แล้วเวลาเราถือศีลเห็นไหม เรามาถือศีลเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราจะมาบังคับตน จะต้องมาบังคับตน บังคับด้วยศีล ด้วยธรรม ถ้าไม่มีการบังคับตน คนดีด้วยการฝึกฝน คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความวิริยะ อุตสาหะ ไม่ใช่ความปล่อยตัวปล่อยใจไป ปล่อยตัวปล่อยใจไป มันฝืนกิเลสไม่ได้หรอก มันตามกิเลสไปโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย กิเลสเห็นไหม ถ้าเราไม่ทำดี เราก็ต้องทำชั่วเป็นธรรมดา เราต้องฝืนทำดีของเราไว้ ทำดีของเราไว้นะ เราเกิดมาทั้งชีวิตเห็นไหม ต้องทวนกระแส สิ่งที่ทวนกระแสเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเราเราประพฤติปฏิบัติ เราประพฤติปฏิบัติต้องมีนะ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีการศึกษา การศึกษานี่เป็นพื้นนะ เราต้องศึกษา ศึกษาขึ้นมาเพื่อความเข้าใจ ดูสิเราเข้าวัดเข้าวาเราก็ต้องศึกษา ดูคนมาวัดสิ คนที่เขามาวัดนะ ถ้าหัวใจเขาเป็นธรรมนะเขาจะเคารพสถานที่ แล้วคนเรานะดูสิเคารพสถานที่ เคารพตัวเองก่อน ถ้าใครประพฤติปฏิบัติ เวลาเผลอนะเข้ามาในวัดเสียงดังมาก บอกที่นี่เป็นที่ปฏิบัติธรรมนะ เขาจะเข้าใจทันทีเลย เพราะการปฏิบัติธรรมเขาต้องการความวิเวก เขาต้องการความสงบสงัด สถานที่เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ

คำว่าสัปปายะมันเป็นความสงบ มันเป็นความพอดีของมัน แต่เวลาเราไป เราลืมตัวไง พอไปเห็นในสิ่งใดที่มันถูกใจ เราจะเสียงดังขึ้นมา เราจะหลุดของเราขึ้นมา ถ้าเขาเตือนขึ้นมา ถ้าคนมีการศึกษา มีการศึกษาคือเคยไปวัด คือเคยปฏิบัติ ถ้าไม่มีการศึกษา คือไม่เข้าใจ ที่นี่เสียงดัง ดังที่ไหน อยู่ที่บ้านเขาคุยกันดังกว่านี้ เขาไม่มีสิ่งเปรียบเทียบ เพราะเขาเคยคลุกคลีอยู่กับโลก เขาไม่มีการศึกษา คือเขาไม่เคยปฏิบัติ เขาไม่เคยเข้าไปวัดปฏิบัติ เขาไม่เคารพสถานที่ เขาก็ไม่รู้ตัวของเขาเอง เพราะเขาเป็นคนที่ไม่มีความหมาย ไม่มีคุณงามความดีในใจของเขา

แต่ถ้าเราเคยประพฤติปฏิบัติ เราเคยศึกษา ศึกษาคืออะไร ศึกษาคือศึกษาใจไง ศึกษาคือเราเคยภาวนาไง ถ้าเรามีการศึกษา เห็นไหม เราพอใจอะไร ทุกคนเกลียดทุกข์รักสุขทั้งนั้น ทุกคนต้องการความดีทั้งนั้น ไม่ว่าใครทั้งสิ้น แต่นี่ทุกคนปรารถนาสิ่งนั้น เราก็ปรารถนาสิ่งนั้น พอเขาเตือนขึ้นมาปั๊บ มันจะเข้าใจทันทีเลย บอกว่านี่เสียงดัง ทำให้กระทบกระเทือนคนอื่นเขา เราจะเข้าใจ แต่ถ้าคนมันด้าน คนมันด้านเห็นไหม เขาอยู่สังคมไง เพราะเขาไม่ศึกษา เขาไม่สำเหนียก เขาไม่ค้นคว้าของเขา ถ้าเขาค้นคว้าของเขา เขาสำเหนียกของเขา พอคนเตือนเขาจะรู้ตัวของเขาเห็นไหม

นี่คือการศึกษา ปริยัติการศึกษาจากภายนอก การศึกษาในการประพฤติปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ในการประพฤติปฏิบัติของเรานะ ถ้าในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราตั้งใจจริงของเราเห็นไหม เราจะต้องมีครูมีอาจารย์ ดูสิเรามีครูอาจารย์ มีศาสดา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ธรรมวินัยไว้เห็นไหม สิ่งที่ต่างๆ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง กรรมฐานๆ คนเรามันจะทำงานสิ่งใดมันต้องมีฐานที่ตั้ง

ดูสิ เวลามาอยู่วัดเห็นไหม ทำไมต้องมีกุฏิล่ะ ทำไมต้องมีที่พักอาศัยล่ะ เขาบอกว่าถ้าไม่ติดสิ่งใดๆ เลย ก็ต้องไม่มีสิ่งใดเลย เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะซึ้งใจมาก นกมันยังมีรวงมีรัง คนเราต้องมีที่อาศัย เวลาเราบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา เวลาจำพรรษา เวลาเข้าหน้าฝน เทวทัตขอไง ขอให้อยู่โคนไม้ตลอดไป พระพุทธเจ้าห้าม ให้อยู่ได้ ๘ เดือน พออีก ๔ เดือนหน้าฝน จำพรรษา ห้ามจำในตุ่มน้ำ ห้ามจำในโพรงไม้ ห้าม ห้ามเลย เพราะว่าสิ่งนั้นมันต้องมี ของเขามีไง โลกเขามีไง ที่พักที่อาศัย เราสร้างได้แต่เราไม่ติดมัน เราสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่พักที่อาศัย อยู่ในเรือนว่างที่อาศัย พออาศัยพอบังลมบังฝนเท่านั้น

แล้วดูสิเวลาเราทำกัน อยู่ในที่เรือนว่าง มันเป็นธุดงค์ข้อหนึ่งนะ อยู่ในเรือนว่าง แล้วใครอยู่ในเรือนว่าง อยู่ร้าน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติ ใหม่ๆ ถ้ามันเป็นกิเลส มันจะน้อยใจว่าเราไม่ได้อยู่ที่แบบโลกเขาพอใจกัน แต่เวลาเราปฏิบัติไป คนปฏิบัติมันจะเข้าใจเลยนะ เวลาเรารูดผ้าออกไป มันโล่ง มันโปร่ง มันไม่มีอับชื้น โอ๊ย มันดีไปหมดเลยล่ะ มันดีไปหมดกับการประพฤติปฏิบัตินะ แต่มันไม่ดีกับกิเลสเลย กิเลสมันขัดแย้งนัก กิเลสมันทุกข์นัก กิเลสมันไม่พอใจนัก กิเลสมันใหญ่โตนัก เห็นไหม นี่ไงถึงต้องฝืนนะ การต้องฝืน

การศึกษาทางวิชาการเจริญมาก โลกเขาศึกษากัน การศึกษาทางโลกเขา แต่ในการศึกษาของเรา ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษามาเพื่อจะแก้ไขกิเลส ปริยัติต้องปฏิบัติ ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษาแล้วมาเอาสิ่งที่ศึกษานั้นมาเป็นคุณสมบัติของเรา มาเป็นความรู้ของเรา ไม่ใช่ความรู้ของเราหรอก ความรู้อย่างนี้มันเหมือนความรู้ทางโลก ทางวิชาชีพ วิชาการมันจะมีออกมาใหม่ตลอดเวลา สิ่งต่างๆ เห็นไหม ถ้าเราตกรุ่นเราตกทางวิชาการ เราจะไม่ทันโลกเขาหรอก เราจะต้องฝึกฝนตลอด เราจะต้องทันโลกตลอด เพื่อจะไม่ให้ตกทางวิชาชีพต่างๆ

แต่กิเลสนะ ถึงที่สุดเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามา ปฏิสนธิจิต จิตนี้มันเกิดมาจากไหน ปฏิสนธิวิญญาณ เกิดในไข่ของมารดา เกิดในน้ำคร่ำ เกิดในโอปปาติกะ เห็นไหม การเกิด ๔ กำเนิด ๔ การเกิดนี้ จิตมันเริ่มต้นกันอย่างไร สิ่งที่เริ่มต้น แล้วสิ่งที่เริ่มต้นมันมาจากไหน มันมาจากไหน ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางวิชาการเขาก็ว่ากันไป ทางทฤษฎีเขาก็ว่ากันไป ทางลัทธิศาสนาต่างๆ เขาก็ว่ากันไป แล้วแต่ว่าจะอ้อนวอนใคร ใครจะส่งเสริมกันมา แล้วจะต้องเคารพบูชาใคร

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาถึงที่สุดเห็นไหม เวลามาประพฤติปฏิบัติ บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันย้อนนี้มันเห็นชัดเจนแล้ว จุตูปปาตญาณ มันก็เห็นชัดเจนแล้ว ยิ่งอาสวักขยญาณ อ๋อ มันจบสิ้นกันตรงนี้ ถ้ามันจบสิ้นกันตรงนี้ พอจบสิ้นตรงนี้ เข้าใจหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่ธรรมเห็นไหม เล็งญาณทำไม จะสอนอาฬารดาบสก่อน เพราะเขามีคุณกับเรา เพราะเคยอยู่กับเขาแล้วเขาทำสมาธิด้วย เขามีหลักมีเกณฑ์ของเขา จะไปสอน โอ้ย พึ่งตายไปเมื่อวานนี้เสียดายมาก แล้วจะเอาใครก่อน ปัญจวัคคีย์เห็นไหม เล็งญาณเพราะอะไรล่ะ เพราะใจเขาพร้อม ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ ใครก็ได้ ถ้าใครก็ได้ มันก็เม็ดหินเม็ดทรายจะตักที่ไหนก็ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเผยแผ่ธรรม จะเอาใครก่อนล่ะ ทั้งๆ ที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เขาต้องพร้อมของเขา ความพร้อมของเขามาจากไหน สหชาติ การเกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องสร้างบุญกุศลมาแล้ว ต้องสร้างบุญกุศลมา สหชาตินะ พุทธมารดาก็ต้องปรารถนา ปรารถนาเป็นพุทธมารดา ต้องสร้างบุญกุศลมา พระอัครสาวก พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ก็ปรารถนามาทั้งนั้น มีการปรารถนามาแล้วสร้างบุญกุศลมาด้วยกัน นางพิมพาก็ปรารถนากันมา คำว่าปรารถนาคือได้สร้างสมมา

แต่ในทางวิชาการ ในทางโลกบอกว่า อู้ฮู มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันก็มีแค่โลกปัจจุบันนี้ อดีต อนาคต นรก สวรรค์ไม่มี ตายแล้วก็สูญ มันจะมีได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ มันพิสูจน์ไม่ได้ แต่เวลาผู้หลับตาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลับตา พอจิตมันสงบเข้ามา มันรู้หมดนะ มันรู้ของมันได้ เวลาเล็งญาณนั้นเล็งญาณใคร นี่พูดถึงที่มาของจิตก่อน ที่มาของจิตที่จะมาเกิดเป็นเราอยู่นี้ จิตที่มันเกิดมามันเกิดมาเพื่ออะไร มันเกิดมาถ้าไม่มีบุญไม่มีวาสนา มนุษย์สมบัติ ถ้ามันไม่พร้อมเป็นมนุษย์สมบัติ มันจะไปเกิดเป็นอะไร จิตนี้ไปเกิด เราจะไปปฏิเสธมันเรื่องของเรา เราจะเอาทฤษฎีอะไรมาคัดค้านก็เรื่องของเรา แต่ความจริงมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ความจริงนะ

ดูสิ ในปัจจุบันนี้ใจเราบังคับมันได้ไหม เราปรารถนาสิ่งใด เราต้องการสิ่งใด เราต้องให้มันสมปรารถนาในใจเราเป็นไปได้ไหม มันสมความปรารถนาอย่างที่ใจพอใจไหม มันไม่มีอะไรพอใจเลย ศึกษาธรรมะมาเพื่อจะชำระกิเลส ให้มันเบาบางลง แล้วมันเบาลงไหม มันดีแต่เอามาโต้เถียงกัน มันปากเปียกปากแฉะเท่านั้น เอาชนะคะคานกัน แต่ความจริงในหัวใจไม่รู้สักคนหนึ่ง ไม่มีใครรู้เลย มันเป็นปริยัติหมดเห็นไหม เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่เป็นความจริงไง มันต้องปฏิบัติขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมา ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเผยแผ่ธรรม เล็งญาณว่าจะสอนใครก่อน แล้วเวลาไปสอนนะ ใจของเขาสมควรไหม ถ้าเขาไม่สมควรก็เทศน์

อนุปุพพิกถา เทศนาว่าการให้เขาพร้อม พอเขาพร้อมแล้วนะถึงจะเทศน์อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สัจจะความจริงอันประเสริฐ

อริยสัจ สัจจะความจริงในหลักของศาสนา พระพุทธเจ้าเกิดที่นี่ เกิดอย่างนี้ เกิดเพราะการกระทำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา แต่กว่าจะกระทำเขาจะพร้อมไหม อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทางยุโรปเขาเพิ่งคิดได้ไง ว่าสิ่งต่างๆ มันต้องมีเหตุ มันมาแต่เหตุ แล้วถ้าจะดับก็ต้องดับที่เหตุนั้น ดับแล้วก็เกิดนิโรธ ความเป็นจริงๆ นี่ทางวิชาการนะ แต่ความเป็นจริงอยู่ที่ไหน ทำกันที่ไหน ถ้าเราทำที่ไหน ถ้าเราจะทำของเรา เราต้องฝืน เราต้องตั้งใจ เรามีครูบาอาจารย์นะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัย ปริยัติ ศึกษาไว้เห็นไหม ดูสิในสมัยพุทธกาล วินัยธรกับธรรมกถึก มันมีอยู่แล้ว ผู้ที่เข้ามาศึกษาเพื่อเป็นวินัยธรเห็นไหม เป็นทางวิชาการ วินัยธรจำนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัย จำได้หมด พระอานนท์กับพระอุบาลีเห็นไหมจำธรรมกับจำวินัย จำมาได้หมด แล้วเวลามีปัญหาจะถามใครไม่ได้ เพราะมันไม่มีตำรา มันเป็นความจำอยู่ในสมองทั้งหมด แล้วเวลาศึกษากัน ศึกษาจากปาก

แล้วธรรมกถึกล่ะ จะเอาอะไรเทศน์ขึ้นมา ก็มันไม่มีตำรา สมัยนั้นยังไม่จารึกลงเป็นตัวหนังสือ ธรรมกถึกถ้าไม่เป็นแล้วเอาอะไรมาพูด ธรรมกถึกคือนักเทศน์ เทศน์ออกมาจากความเป็นจริง แต่ถ้าเป็นวินัยธรนี่ก็เทศน์เหมือนกัน แต่เทศน์ทางวิชาการ คือเทศน์สิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดไว้แล้ว แต่ธรรมกถึกนี่ต้องพูดออกมาจากสัจจะความจริง แล้วถ้าไม่เป็นความจริงจะเอาอะไรมาพูด เห็นไหมวินัยธร ธรรมกถึก

สมัยพุทธกาล ปริยัติ ปฏิบัติ ปริยัติคือการศึกษา แล้วถ้าปฏิบัติเห็นไหม ภิกษุบวชเมื่อเฒ่า เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บวชเมื่อเฒ่า ไม่อยากจะศึกษาวินัย จะออกปฏิบัติเลย ก็ให้องค์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กรรมฐาน จะให้กรรมฐานกำหนดสิ่งใดแล้วเข้าป่าไป ไปประพฤติปฏิบัติอย่างไร การประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เขาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้แก้ไขๆ แล้วมีครูบาอาจารย์คอยแก้ไขกันไป แต่ทีนี้การปฏิบัติ การแก้ไขมันเป็นจริตนิสัย เป็นส่วนที่ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติได้จริงหรือไม่ได้จริง ถ้าได้จริงหรือไม่จริงมันต้องย้อนกลับมาที่นี่ เห็นไหม ย้อนกลับมาที่เรา มันเป็นผลความจริงของเรานะ

ทฤษฎีมีมหาศาลเลย ในปัจจุบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมมันมีอยู่แล้ว พอเราจำได้ขึ้นมา มันสร้างภาพได้หมดล่ะ ในการปฏิบัติมันต้องเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง สติก็เป็นความจริง สมาธิก็เป็นสมาธิจริง ปัญญาก็เป็นปัญญาจริง ศีล สมาธิ ปัญญา แต่การปฏิบัติทุกอย่าง เริ่มต้นที่สำคัญมันต้องมีสติสัมปชัญญะก่อน แล้วในเมื่อมีสติสัมปชัญญะ ในการปฏิบัติเราตั้งสติของเราขึ้นมาเห็นไหม เรากำหนด พุทโธ ต่างๆ เราตั้งสติขึ้นมา คนถ้ามีสติ จะทำอะไรก็จะผิดพลาดได้น้อยมาก แต่สติ เวลาประพฤติปฏิบัติโดยธรรมปฏิรูปนั้นเขาบอกเลย สติไม่ต้องฝึก สติเป็นเอง ตกใจปั๊บสติมาเลย แล้วเวลาบอกว่าสติเป็นอนัตตา อนัตตาเพราะอะไร เพราะสติควบคุมไม่ได้

แต่ครูบาอาจารย์เราบอกนะ ต้องฝึกสตินะ ตั้งสติให้ได้ ตั้งสติของเราขึ้นมาแล้วกำหนด พุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม มันจะเป็น สัมมาสมาธิ แต่ถ้าเป็นการดูจิต ดูไปเรื่อยๆ ดูไปตามกระแสของมัน ดูมันไปเห็นไหม พอดูมันไป ต้องด้วยความไม่จงใจ ไม่ตั้งใจ ตั้งใจไม่ได้ ถ้าตั้งใจจะเป็น อัตตกิลมถานุโยค ตั้งใจคือผิดทันที ถ้าตั้งใจมันผิด แล้วสติมันอยู่ที่ไหน สติคือความตั้งมั่น สติคือความตั้งใจ ถ้ามันไม่มีความตั้งใจเห็นไหม มันไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไป แล้วพอไหลตามอารมณ์ความรู้สึก แต่เพราะความรู้สึกใช่ไหม สติคือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ดูจิตด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เราบังคับใจเราได้ไหม เราจะฝืนใจเราได้ไหม ถ้ามันไหลไปมันก็อยู่ที่จริตนิสัยของคน พอมันไหลไปเห็นไหม พอมันไหลไป ไหลไปถึงที่สุด สมาธิมันจะเกิดเอง อย่างนี้เป็นสัญญาสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ

เพราะในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องการ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าขาดสมาธิไป มันก็จะไม่เป็นการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง มันต้องการสมาธิ แต่เพราะทำสมาธิไม่เป็น ทำสมาธิไม่ได้ เพราะถ้าทำสมาธิได้ คนทำสมาธิได้ คนมีสมาธิ มีศีล สมาธิ ปัญญา ตามความเป็นจริง จะไม่พูดเรื่องสติว่าจะเกิดเอง ตกใจปั๊บสติมาทันที มันเหมือนไฟฟ้าเวลาไฟดับแล้ว เวลามันเปิดไฟมา แรงกระแทกของมัน นี่ล่ะ เวลาตกใจไปมันหมดไปวูบหนึ่ง เวลารู้สึกตัวอีกที มันเป็นการสะดุดใช่ไหม

ในการตั้งสติของเรา เรากำหนดพุทโธของเรา หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา มันต่อเนื่องๆ เวลาจิตมันจะลงนะ เวลาจิตเป็นสมาธิ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เวลาพุทโธไป เริ่มต้นมันจะมีการต่อต้าน มันมีการขัดแย้ง เพราะอะไร ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ยังต้องเล็งญาณ ว่าจิตของคนมันพร้อมไหม อย่างของเรานี้มีใครเล็งญาณให้เราล่ะ มีแต่ความมุ่งมั่นของเราใช่ไหม มีแต่ความตั้งใจจริงของเรา

เราจะเอาชนะตัวเราเองให้ได้ การที่จะเอาชนะตัวเองให้ได้ เราลองปล่อยตัวเราตามสบายสิ เราจะทำอะไรก็ได้ตามสบาย จิตใจเราจะไม่ต่อต้านเลย แต่เราลองตั้งกติกากับเราสิ เวลาเข้าพรรษาขึ้นมาลองตั้งสัจจะว่าจะไม่กินเหล้า จะตักบาตรทุกวัน มันจะมีอุปสรรคทันทีเลย มันจะมีอะไรขึ้นมาโต้แย้งเลย เพราะอะไร เพราะจิตพอมีข้อบังคับปั๊บ มันจะขัดขืนทันที ดูพระสิ เห็นไหม ถ้านอกพรรษา พระอยู่กันสุขสบายนะ เพราะอะไร เพราะมันไม่มีความกดดัน พอบอกว่าเข้าพรรษามันไปไหนไม่ได้ จะไปไหนต้องสัตตาหะไป แหม ในพรรษานี้มันอึดอัดมากเลย พอวันออกพรรษาก็โล่งอกเลย นี่โดยธรรมชาติกิเลสมันเป็นอย่างนี้ พอกิเลสเป็นอย่างนี้ พอเราตั้งใจขึ้นมา พอเราตั้งใจกำหนดพุทโธขึ้นมา มันจะมีความโต้แย้งไหม โต้แย้งคืออะไร โต้แย้งคือกิเลสใช่ไหม กิเลสมันมีความจริงนะ กิเลสเป็นจริงๆ นะ แล้วทำความดี กิเลสมันก็ต่อต้าน

กิเลสมันคืออะไร กิเลสคือลูกหลานของมาร พญามารคืออวิชชา อวิชชายังอยู่ในหัวใจอีกมหาศาลเลย แต่นี่พอเริ่มต้นขึ้นมา ในการต่อต้าน ในการฝืนเพื่อการทำดีของเรา ในการ พุทโธๆ มันก็เลยเครียด มันเหนื่อย มันทุกข์ มันยาก มันเป็นไปได้ทั้งนั้น แล้วก็ตีโพยตีพาย เราก็จะเอาแต่ความสะดวก มันยิ่งเป็นตัณหาซ้อนตัณหา แต่ถ้าเราตั้งใจทำตามความเป็นจริงของเรา เราตั้งสติของเรา เรากำหนดพุทโธของเราไปเรื่อยๆ พอกำหนดพุทโธๆ นี้ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดจากที่ไหน ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดจากจิต จิตมีการเปลี่ยนแปลงของมันนะ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ เวลาพุทโธๆๆ ไป มันจะตกหายไป มันจะจางไป นี่มันเป็นเรื่องธรรมดานะ คนเวลาฝึกงานจากข้างนอกเขายังมีผิดพลาดเป็นธรรมดา ไอ้นี่จิตนี้เป็นนามธรรม แต่มีที่ตั้ง ภพไง ภวาสวะ ตัวจิตนี้เป็นตัวภพ ตัวจิตนี้มีฐานที่ตั้ง ไล่ไปแล้วมันจะไปจบสิ้นกระบวนการกันที่ ฐีติจิต มันจะจบกระบวนการกันที่นั่น

พุทโธๆๆ นี้มันจะจบกระบวนการ นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้าใครประพฤติปฏิบัติจะเห็นตามความเป็นจริง ไล่พุทโธๆๆๆ เข้าไปมันจะต่อต้าน มันจะขัดแย้ง มันจะเจอสิ่งต่างๆ มันอยู่ที่อำนาจวาสนา เวลาเราทำบุญกุศลขึ้นมา ทุกคนจะบอกทำแล้วไม่ได้ผล เวลาเขาทำบาปอกุศลกัน เขาปล้นชิงวิ่งราวกัน อันนั้นเขาว่าเป็นคุณงามความดีของเขา เพราะเขาหยิบฉวยสิ่งนั้นมาเป็นประโยชน์ของเขาโดยส่วนตัว ผลบุญผลกรรมมันเกิดจากตรงนั้น พุทโธๆ ที่มันจะลงหรือไม่ลง มันก็เกิดจากกรรมดีกรรมชั่วของเรา สิ่งที่เราทำมา จิตใจของคนมันเท่ากันไหม นิ้วมือคนมันก็ไม่เท่ากัน ความรู้สึกของคนมันก็ไม่เท่ากัน

แต่หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติ พุทโธๆๆ อย่างไรก็แล้วแต่ เราก็เคารพบูชาศาสดาของเรา ศาสดาของเราคือพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็นอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยคุ้มครองเรา เพราะเราศรัทธา เรามีความเชื่อ เราเชื่อของเราเห็นไหม พุทโธๆๆ ของเราไป มันจะมีการเปลี่ยนแปลง จิตมันจะมีการเปลี่ยนแปลงของมัน มันจะละเอียดขนาดไหน เราพุทโธไปเรื่อยๆ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงนะ รสชาติมันต่างกันกับดูจิตเฉยๆ ดูจิตไป สบายๆ สบายๆ มันดูไปเฉยๆ แต่ถ้าจิตใจของเราเปลี่ยนแปลง ต้นไม้มันย้ายที่ปลูกนะ ต้นไม้มันปลูกไว้ ในป่าดูสิเขาไปล้อมเอามาขาย ดูสิต้นใหญ่ๆ เขาขนมากันหมดเลย นี่หัวใจมันเปลี่ยนแปลงจากความคิดชั่วๆ จากความคิดที่สู้ตัวเองไม่ได้ จากความคิดปกติของจิตที่ไม่มีใครควบคุมมัน ที่ไม่รู้จักตัวตนไม่รู้จักเราเลย จะเป็นนาย ก นาย ข ก็แล้วแต่ มันเป็นที่ทะเบียนบ้านทั้งนั้น แต่ไม่เคยรู้จักตัวเองกันทั้งนั้น

ถ้ารู้จักตัวเองขึ้นมา เวลาจิตสงบ “อื้ม” มันรู้จักตัวเอง มีคุณค่านะ พอมีคุณค่าขึ้นมามันจะซึ้งใจในศาสนามาก นี่ปฏิบัติตามความเป็นจริง ไม่ใช่ปฏิบัติเป็นสัญญาสมาธิ มันจะเป็นสมาธิ กำหนดจิตไปเรื่อยๆ ห้ามฝืนทุกอย่าง ถ้าฝืนผิดหมดเลยเป็น อัตตกิลมถานุโยค แล้วเวลาจะเป็นนะ ดันเป็นเอง มันเป็นเอง มันจะเป็นเองนะ แล้วเป็นเองแล้วเป็นสัมมาสมาธินะ แล้วสมาธิมันจะตั้งมั่นนะ มันเป็นสัญญาสมาธิไม่ใช่สัมมาสมาธิ

ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ คนที่เป็นสัมมาสมาธิเหมือนเรามีเงินในกระเป๋า เรามีเงินในกระเป๋าของเรา เงินนี้มาจากไหน ถ้าเป็นเด็กก็ขอพ่อแม่มา ถ้าเป็นเราก็ทำมาหากินมา มันต้องมีงาน มันต้องมีการกระทำ เงินในกระเป๋ามันถึงจะมีขึ้นมาได้ ถ้าเราไม่ทำสิ่งใดเลย เงินในกระเป๋าจะมาได้อย่างไร ถ้าไปปล้นชิงวิ่งราวขึ้นมาก็มีเงินในกระเป๋าเหมือนกัน ก็ปล้นชิงวิ่งราวมาก็เป็นเงินในกระเป๋าเรา

นี่ก็เหมือนกัน สัญญาสมาธิ คือปล้นชิงวิ่งราวจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ต้องมีสมาธิ พอมีสมาธิขึ้นมา มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้นะ คนทำมาหากินกัน คนทำงานนะ มันต้องไปตั้งสติมา สติต้องเป็นสติ ต้องมีความระลึก ต้องมีความตั้งมั่น จิตมันจะลงได้ต่อเมื่อเรารู้จริงตามความจริง ลงต่อหน้า ซึ่งๆ หน้า รู้ชัดเจนมาก ถ้าไม่รู้ชัดเจนมาก ทำไมครูบาอาจารย์ของเราเวลาจิตรวมใหญ่ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ทำไมมันมีสมาธิของมันล่ะ ทำไมรวมใหญ่ รู้กันได้อย่างไรว่าจิตของคน จิตของผู้ที่มีสมาธิ รู้ว่าระดับไหนของมันถึงเป็น ขณิกะ อุปจาระ อัปปนา

อัปปนาเป็นอย่างไร แล้วบอก อู้ย ถ้านั่งไป พุทโธๆๆ น่าเสียใจมาก คนกำหนดพุทโธ นั่งจนตัวแข็งจิตดับเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ ! ไม่ใช่จิตดับ จิตมันดับจากสัญญาอารมณ์ แต่ตัวมันเองตื่นตัวตลอดเวลา คำว่าดับ เวลามันดับคือ ดับจากความฟุ้งซ่าน ดับจากความรับรู้จากภายนอก แล้วมันอิสระในตัวมันเอง จิตดับมันเป็นศัพท์ของพระป่าที่เขารู้กัน แล้วจิตเราดับไหม คนดับก็ตายสิ จิตดับก็ไม่มีจิตสิ แต่นี่มันดับแต่สัญญาอารมณ์ ยิ่งพิจารณาเวทนานะ เวลาพิจารณาเวทนา เวทนาดับทุกอย่างดับหมดเลย ดับคือมันปล่อยไง มันว่าง มันปล่อยมันว่างขึ้นมา นี่คือความไม่เข้าใจของเขา เขาไม่เข้าใจว่า พุทโธๆ เขาสงสารพวกพุทโธมาก ว่าพุทโธทำอะไรก็ไม่เป็น

แต่ถ้าดูจิตนะ ดูตามมันไป ห้ามฝืน เพราะฝืนมันเป็นอัตตกิลมถานุโยค

อัตตกิลมถานุโยคนะ เวลามันพิจารณาไป มันจะทำให้ตายเลย เวลาจิตมันไม่ยอม จิตพิจารณาของมันไป มันโต้แย้งนะ กามสุขัลลิกานุโยค ติดในความสุข ติดในสมาธิ ติดในสิ่งต่างๆ อัตตกิลมถานุโยค มันหมุนของมันออกไปนะ มันฝืนเลย ฝืนความรู้สึก ความรู้สึกนี้จะกลับมาเป็นปกติไม่ได้ มันจะฝืนของมัน ไม่ใช่คนบ้า บ้าเพราะไม่มีสติก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง อัตตกิลมถานุโยค มันเป็นการทำให้จิตนี้ออกไปอีกตรงข้ามกับกามสุขัลลิกานุโยค แต่ถ้ามันเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาก็ลงสมาธิลงปัญญา ลงตามความเป็นจริง ลงมัชฌิมาปฏิปทา สิ่งที่ลงมัชฌิมา ศีล สมาธิ ปัญญา แม้แต่เรื่องของสติ ที่ว่ามันตกใจแล้วสติจะมาเอง มันเป็นการสะดุด คนที่ภาวนาเป็นจะรู้ทันที คนที่ภาวนาเป็นเวลาเรากำหนดเห็นไหม ดูสิขณะกำหนดพุทโธหนัก พุทโธเบา มันยังกระเทือนหัวใจเราเลย แล้วตกใจปั๊บสติมาเอง มันจะเป็นไปได้อย่างไร ตกใจ เผลอปั๊บสติก็มาเอง ห้ามตั้ง เผลอปั๊บสติก็มาเอง อย่างนี้เราก็ทำเผอเรอกันไป ปล่อยมันเผลอสติมาเองฝึกให้ได้ เผลอแล้วสติมาเอง อยากดูนักใครทำได้ เผลอแล้วสติมาเอง

ไม่เป็น มันเป็นสัญญาอารมณ์ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เป็นความจริง แม้แต่สมาธิก็เป็นเอง คำว่าเป็นเองในศาสนาพุทธไม่มี พุทธศาสนาไม่เกิดมีสิ่งใดที่เป็นเองหรือลอยมาจากฟ้า พุทธศาสนามีเหตุมีผล ดูสิ เวลาพระสารีบุตรไปฟังเทศน์ของพระอัสสชิเห็นไหม โอ้โหยนุ่มนวลมาก ทำอะไรก็ดูน่าเลื่อมใส มีสติสัมปชัญญะ การเคลื่อน การเหยียด การคู้ มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา จึงตามไปนะตามไปอยากฟังธรรม ถามว่า ท่านบวชมาจากใคร โอ้ เราเป็นพระบวชใหม่ พระอรหันต์นะ เราเป็นพระบวชใหม่ เพิ่งบวชมาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่รู้สิ่งใดหรอก ไม่เป็นไรหรอกขอให้แสดงธรรมเถอะ หน้าที่ที่จะทำให้ทะลุ เป็นหน้าที่ของเกล้ากระผมเอง เพราะเป็นคนที่มีปัญญาเห็นไหม คนมีปัญญาเขาอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วเขาขอฟังสัจจะความจริงนะ พระอัสสชิพูดว่า ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ชำระเหตุนั้น พระสารีบุตรเป็นพระโสดาบันทันทีเลย ปิ๊งเลย ปิ๊งเพราะอะไร เพราะจิตมันพร้อมเห็นไหม เพราะจิตของเขามีสติของเขา เขาฝึกฝนมากับสัญชัย เขาค้นคว้ามามาก เขาค้นคว้า นั่นก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ มันค้นคว้ามาเต็มที่ ค้นคว้าไปขนาดไหนแล้วมันไปตันหมดไง มันไปไม่ได้เพราะมันไม่มีเหตุมีผลไง มันปฏิเสธตลอดไป

พอมาฟังธรรมนะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้กลับไปดับที่เหตุนั้น แล้วธรรมมันจะเป็นสัจจะความจริงเลย นี่เป็นพระโสดาบัน

ดูไปเฉยๆ นะ ดูไปๆ แล้วมันจะเกิดเอง มันเกิดเอง สมาธิก็เกิดเอง เกิดแล้วเป็นสัมมาสมาธิซะด้วย

แต่ถ้าใครกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ไม่มีสมาธิ มันเป็นทื่อๆ มันไม่มีประโยชน์สิ่งใด ไม่มีปัญญา

พูดถึงเห็นไหม ความเห็นของเขา มันเป็นสัญญาสมาธิ เห็นไหม สัญญาวิมุตติไม่มี เวลาถ้ามันจะเกิดปัญญา ปัญญามันจะเกิดอย่างไร ปัญญาก็เกิดเองอีก มีแต่เกิดเองทั้งนั้น เกิดเองโดยที่ว่าจดจำมันไป พอเกิดเป็นสัมมาสมาธิ เวลาบอกเป็นสัมมาสมาธินะ แล้วอ้างว่า สัมมาสมาธิต้องจิตตั้งมั่น จิตต้องตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นแล้วตามดูจิตไป จิตตามดูจิตไป ตามดูไปเรื่อยๆ พอตามดูจิตไป จิตดวงเก่า จิตที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะย่อยสลายเป็นสัญญาอารมณ์ให้กับจิตดวงใหม่ เพื่อระลึกรู้แล้วพยายามจำสภาวธรรมให้ได้ พยายามจำ เขาเน้นตรงนี้เลย ต้องพยายามจดจำให้ได้ แล้วพอจำได้แล้ว จิตมันจะต่อเนื่องกัน ปัญญามันจะก้าวเดินต่อเนื่องกัน แล้วปัญญาพอมันก้าวเดินต่อเนื่องกันไปแล้ว มันจะเกิดปัญญาเอง แล้วมันจะเกิดขณะจิตเอง โดยเป็นอัตโนมัติ นี่คือสัญญาวิมุตติแล้วนะ

สัญญาวิมุตติ มันไม่ใช่เจโตวิมุตติ หรือปัญญาวิมุตติ เป็นสัญญาวิมุตติ สัญญาคือจำไง จดจำให้ดี ต้องจดจำสภาวธรรม ต้องจดต้องจำ พยายามจดจำให้ได้ จำสภาวธรรมบ่อยๆ ต่อเนื่อง จำๆ ต่อเนื่อง จำต่อเนื่องแล้วปัญญามันจะเกิดเอง

พุทธศาสนาไม่ได้สอน นี่คือสัญญาวิมุตติ ไม่ใช่ปัญญาวิมุตติ แต่เวลาเขาคุยกัน ว่าเป็นปัญญาวิมุตติ ปัญญาของเขา ต้องมีปัญญา ในศาสนาพุทธศาสนาแห่งปัญญา แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเรา ในวงกรรมฐานของเรา ในวงวัดป่าของเรา เขาบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทำกันมาหลงผิดมาตลอด ของเขามันถูก แต่ความจริงนะ ฤๅษีชีไพรเวลาเขาทำความสุขของเขา เขาได้ความสงบจริงๆ เขาได้รสได้ชาติจริงๆ แล้วบอกเลยว่าฤๅษีชีไพร เพราะขาดปัญญาฤๅษีชีไพรจะมีคุณธรรมไม่ได้ เพราะไม่มีปัญญา ฤๅษีชีไพรเขาพอใจของเขา เขาถือของเขา เขาทำของเขา เขามีข้อเท็จจริงของเขานะ เขามีคุณสมบัติของเขา

แต่นี่เราเป็นชาวพุทธ แล้วอ้างอิงด้วยว่าเป็นนักปฏิบัติ แล้วว่าเป็นพุทธศาสนา แต่ความจริงสมาธิก็ไม่มีจริง สติก็ไม่มีจริง สติที่เป็นไปไม่มีจริง แล้วไปเปิดหนังสือทั้งหมด ไปดูตำราของเขาทั้งหมด เขาไม่เคยพูดถึงมหาสติเลย เขาพูดถึงสติปัญญาแล้วก็นิพพาน สติปัญญามันจะนิพพานไปได้อย่างไร ถ้าเรามีสติปัญญา เราก็ทำความสงบใจได้ก็เท่านั้นเอง ทำความสงบของใจได้นะ ถ้ามีสติเห็นไหม กำหนดพุทโธ พุทโธ มันก็สงบเข้ามา ถ้ามีปัญญาอบรมสมาธิ มีสติ มีปัญญา มันก็ใคร่ครวญตรึกในธรรม เวลาพระโมคคัลลานะเห็นไหมเป็นพระโสดาบัน ฟังธรรมกับพระอัสสชิแล้วมาบวชในพุทธศาสนา พระโสดาบันนะมานั่งสมาธิ โงกง่วง เห็นไหม สัปหงกโงกง่วง พระพุทธเจ้ามาโดยฤทธิ์เลย เธอจงตรึกในธรรมสิ แหงนหน้าดูดาวสิ เอาน้ำลูบหน้าสิ แล้วถ้ามันง่วงนักก็ให้นอนก่อนแล้วค่อยมาภาวนาใหม่ เห็นไหม นี่พระโสดาบัน พระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตร เป็นพระโสดาบันแล้วฟังธรรมจากพระอัสสชิ แล้วมาประพฤติปฏิบัติ ยังนั่งโงกง่วง

แล้วพระโมคคัลลานะเวลาสิ้นกิเลสไป มีฤทธิ์มีเดช เผยแผ่ธรรมมาให้พวกเราได้ศึกษาได้ประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ยังเป็นมันยังเป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไปเทศนาว่าการ ยังไปเตือนเห็นไหม แล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริง มันจะประพฤติปฏิบัติได้ต่อเนื่อง ถ้าไม่เป็นความจริงเห็นไหม ไม่เป็นความจริง มันเป็นสมาธิตรงไหน ฤๅษีชีไพรเขายังมีสมาธิของเขาจริงๆ ไอ้นี่สมาธิก็ไม่เป็นสมาธิ เป็น สัญญาสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่ทางวิชาการเขาจะดูถูกมาก ว่าของเขาเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิจะเกิดที่ไหน ก็ต้องเกิดจากจิตสิ แล้วจิตมันอยู่ไหน จิตมันไม่มี จิตมันเป็นวิญญาณขันธ์ มันต้องเป็นสัญญาอารมณ์ต่างหาก มันส่งออก จิตเป็นวิญญาณขันธ์เพราะอะไร เพราะมันเป็นกองทุกข์ ขันธ์เป็นกองทุกข์ จิตไม่เป็นกองทุกข์นะ แต่ถ้าเป็นทุกข์ สมุทัย สัญญาอารมณ์ มีตัณหาความทะยานอยาก ถึงเป็นสมุทัย เพราะเริ่มต้นจากสติก็พูดมาผิดๆ ถูกๆ แล้วก็พูดถึงสติไม่ถูกต้อง พอเกิดสมาธิก็สมาธิไม่มี เป็น สัญญาสมาธิ พอเกิดปัญญาขึ้นมาก็เป็นมิจฉาปัญญา เป็นสัญญาอารมณ์ เป็นมิจฉาปัญญาหมดเลย

เขาบอกว่าในเมื่อจิตมันเป็นขันธ์เป็นวิญญาณขันธ์ มันถึงเป็นกองทุกข์ มันเป็นกองมันถึงจะเป็นทุกข์ แต่ทุกข์มันส่งออกไม่ได้ ทุกข์มันเป็นกองอยู่ สิ่งที่ส่งออกคือสมุทัย เพราะหลวงปู่ดูลย์บอกว่า จิตส่งออกทั้งหมดเป็นทุกข์ จิตส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลของจิตส่งออกถึงเป็นทุกข์ เขาบอกว่าถ้าเป็นสมุทัย จิตส่งออกไม่ได้เพราะจิตไม่เป็นสมุทัย จิตไม่เป็นสมุทัยเพราะจิตเป็นวิญญาณขันธ์ วิญญาณขันธ์ ไม่ใช่ จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ ไม่เกี่ยวกันเลย แล้วบอกว่า สิ่งที่ส่งออกได้ มันเป็นสมุทัย สิ่งที่เป็นสมุทัยต้องเป็นตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยากจะเกิดต่อเมื่อมีสัญญาอารมณ์

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เห็นไหมความผ่องใส ความเศร้าหมอง มันเป็นตัณหาของมันไหม ตัณหาขนาดไหนมันก็ไม่รู้จักตัวของมัน ตัวจิต ปฏิสนธิจิต จะเกิดเป็นอะไรล่ะ เกิดมาได้ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เป็นกอง กองของขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณนี้วิญญาณขันธ์ วิญญาณขันธ์เป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ วิญญาณในขันธ์ ๕ มันเป็นกองมันก็ถูกต้อง แต่ตัวจิตมันเป็นกองได้อย่างไร อะไรเป็นกองของมัน แล้วเป็นทุกข์ มันไม่เป็นสมุทัย ถ้าไม่เป็นสมุทัยแล้วอะไรมาเกิด ตัวจิตไม่เป็นสมุทัยแล้วอะไรมาเกิด ตัวจิตนั้นแหละคือตัวสมุทัย เพราะสมุทัยมันมีหยาบ มีละเอียด มีหลากหลายนัก สมุทัย ความหลงของปุถุชน ความหลงของกัลยาณปุถุชน ความหลงของโสดาปัตติมรรค ความหลงของโสดาปัตติผล ความหลงของสกิทาคามรรค ความหลงของสกิทาคาผล ความหลงของอนาคามรรค ความหลงของอนาคาผล ความหลงของอรหัตตมรรค ความหลงของอรหัตตมรรคนะ อรหัตตมรรคยังหลงอยู่นะ อรหัตตผลล่ะ อรหัตตผลนิพพานหนึ่งล่ะ นี่สมุทัยมันจะไปหมดตรงนี้ มันหลงมาทั้งนั้นแหละ หลงมาก หลงน้อย หลงหยาบ หลงละเอียด ใครหลง หลงละเอียดไง ละเอียดก็หลง หยาบก็หลง หลงคืออะไร ถ้าไม่เป็นสมุทัย แล้วมันเป็นอะไร

นี่ไง สิ่งที่ผิดมาแต่ต้น กระบวนการมันผิดหมดเลย แต่เวลาพูดธรรมะ พูดธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นสัญญาอารมณ์ สัญญาวิมุตติไม่มี มีเจโตวิมุตติ มีปัญญาวิมุตติ แต่สัญญาวิมุตติไม่มี ของที่เกิดเอง ของที่เป็นเอง คนเรานี่นะ สิ่งที่ปัญญาจะเกิดสัญญามันจะเกิดมาจากไหน ก็เกิดจากข้อมูล แล้วข้อมูลเห็นไหม ข้อมูลคือการศึกษาไง คือปริยัติไง ศึกษาปริยัติมามันมีข้อมูลของมันใช่ไหม มันก็เปรียบเทียบของมัน ตามธรรมชาติของมัน แล้วเวลาพูดสิ่งใดขึ้นมา อารมณ์อะไรเกิดขึ้นมา พยายามจะเทียบเข้าไปที่อภิธรรม เทียบที่อารมณ์ไง เทียบเข้าไปที่อารมณ์ตรงนั้น เพราะอะไรเพราะอารมณ์ที่นั่นปั๊บ เป็นธรรมะที่ยืนยันกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปยืนยัน ใช่ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยวางไว้เป็นศาสดา ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรานะ อานนท์ ! เราไม่ได้เอามรรคผลของใครไปเลย เราเอาแต่ของเราไปนะ สิ่งที่พระพุทธเจ้านิพพานแล้วจะพึ่งใคร ธรรมและวินัยที่ตรัสไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาของพวกเธอ ธรรมและวินัยที่เราตรัสดีแล้ว ศาสดาไม่ใช่เรานะ เรากับศาสดาคนละเรื่องนะ ศาสดาคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยก็คือตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเรารู้อะไร เรารู้อะไร ที่ไปอ้างๆ อยู่นั่น อ้างทำไม อ้างแล้วเราได้อะไร อ้างแล้วเราได้อะไร ธรรมวินัยนี้ให้เราศึกษา ศึกษาแล้วให้เราปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วให้เรารู้จริง

ถ้าเรารู้จริงขึ้นมาในหัวใจ มันต้องไปอ้างใครไหม เวลาเรามีเงินในกระเป๋า เราจะใช้เงิน เราต้องอ้างว่าเงินเราบริสุทธิ์ไหม เงินของเราหามาด้วยความบริสุทธิ์ใช้ได้มีค่าตามกฎหมาย ใช้หนี้ได้ตามกฎหมาย ต้องพูดอย่างนั้นด้วยไหม เรามีเงิน เราควักเงิน เราก็ใช้เงิน นี่ก็เหมือนกัน เรามีความรู้จริง มีสัจจะจริง ก็พูดออกมาจริงๆ สิ พูดออกมาว่าประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างไร แล้วสิ่งที่เป็นมันเป็นอย่างไร มันเกิดเอง เป็นเอง โดยอัตโนมัติ ขณะจิตเป็นอัตโนมัติ ขณะจิตเห็นไหม พอพิจารณาไป เป็นไปไม่ได้ ที่ว่าจิตมันจะดับ ไม่มีทาง

เวลาเราพิจารณาของเรานะ ถ้าจิตสงบ จิตมีหลักมีเกณฑ์ นี่คือกรรมฐาน พุทโธๆๆ นี่คือกรรมฐาน ปัญญาอบรมสมาธินี่คือกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ฐานที่ตั้งแห่งภพ ฐานที่ตั้งแห่งข้อมูล ฐานที่ตั้งแห่งการเกิดและการตาย มนุษย์แต่ละคนเกิดมาจากปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตคือตัวภพ ตัวภพเกิดในครรภ์ของมารดา เกิดในน้ำคร่ำ เกิดในไข่ เกิดเป็นโอปปาติกะ สิ่งที่เกิดเพราะอะไร เพราะมันมีภพ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ตัวภพเห็นไหม เราดูกันแต่ภพชาติ เราดูแต่ภพเป็นพื้นที่เป็นสถานที่ตั้ง แต่เราไม่ดูตัวภพ ที่เป็นนามธรรม ภพที่เป็นนามธรรมมันอยู่ที่นี่ ถ้าตัวภพที่เป็นนามธรรมเห็นไหม สถานที่ตั้งเป็นนามธรรม นี่คือกรรมฐาน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา อย่างน้อยพอจิตสงบเห็นไหม

ทางโลกเขา จิตสงบของเขา ดูสิ ทางวิชาชีพของเขาเห็นไหม จิตสงบแล้วเขาใช้จินตนาการของเขา ดูหมอดูหาเงินหาทองกัน ความสงบของจิตของเขา มันก็มีความแตกต่างกับความรู้สึกของปุถุชนที่เขาไม่สนใจเรื่องจิตวิญญาณ ไม่สนใจเรื่องจิตของตัว สนใจแต่วัตถุข้าวของเงินทอง เพื่อจะมาปรนเปรออารมณ์ความรู้สึก แต่ไม่สนใจอารมณ์ความรู้สึกมันเกิดบนไหน มันก็เกิดบนภวาสวะ บนภพนี่แหละ พุทธศาสนาสอนที่นี่ พอสอนที่นี่ เรากำหนดพุทโธกัน ใช้ปัญญาอบรมสมาธิกัน ก็เพื่อจะหาฐานที่ตั้งแห่งการงาน ชัยภูมิในการสู้รบกับกิเลส ตามความเป็นจริง ดูสิ นักกีฬาจะแข่งขันเขายังต้องมีสนามแข่งขันของเขา นักมวยเขาต้องมีเวทีชกของเขา

แต่นี่ดูจิตกันไปเฉยๆ หาสนามไม่เจอ ไม่รู้ไปแก้กิเลสกันที่ไหน แล้วพอมันจะเป็นนะ ไปดูหนังสือเขาได้ เป็นเองทั้งนั้นเลย เป็นเอง เป็นเอง แต่ทีนี้ในเวทีชกมวย ในเวทีการกีฬามันก็มีสนามเด็กเล่นใช่ไหม พอบอกว่าเป็นเอง เอาสนามมา เอาเวทีมวยมา อธิบายว่ามีเชือกกั้นกี่เส้นนะ เราก็เห็นได้ เราเข้าใจได้เราคิดว่าเออน่าจริงเนาะ แต่ไม่จริง เพราะความเป็นจริงในใจเขาไม่มี สนามฟุตบอล สนามกีฬาหรือเวทีมวย มันก็เปรียบเทียบว่าเป็นทางวิชาการ เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราพูดออกมา เราเห็นได้ไง เพราะเราเป็นชาวพุทธไง เราก็เชื่อถือเขาไป แต่ความจริงในการประพฤติปฏิบัติ เวทีสถานที่ตั้งนั้นเราต้องหาเอง เวทีมวย สนามแข่งขันของเขานั้นมันเป็นสังคม มันเป็นธุรกิจ มันเป็นสังคมที่เขามี เห็นไหม ดูสิ อย่างชุมชนไหนเขาจะมีสนามเด็กเล่นของเขา เพื่อพัฒนาชุมชน อันนี้มันเป็นการบริหารจัดการของโลก

แต่การประพฤติปฏิบัติ การชำระกิเลส มันไม่มีเวทีทั่วไป มันมีสนามชัยภูมิแห่งการต่อสู้ของแต่ละบุคคล จะต้องหาฐานที่ตั้งของตัวให้เจอ ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ มันเก็บข้อมูลมา มันเก็บมาเป็นจริตนิสัย มันเก็บคุณงามความดีความชั่วมากับหัวใจนั้น จนเป็นจริตจนเป็นนิสัย แล้วมันก็เกิดมาในสถานะของมนุษย์ มันก็มีความคิดเป็นธรรมดา มีความรู้สึกเป็นธรรมดา มีการสื่อสารเป็นธรรมดา มีร่างกายเป็นธรรมดา ก็บอกว่าธรรมดา นี่ไงก็ปฏิบัติธรรมดา ปฏิบัติธรรมดาก็ธรรมะก็เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติก็เป็นธรรมดา ธรรมดาวิมุตติอีกแล้ว ไม่มี มีแต่ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ ธรรมดาวิมุตติไม่มี ธรรมชาติวิมุตติก็ไม่มี

นี่ไง ธรรมชาติมันเป็นวัฏฏะ ธรรมชาติเป็นการเวียนไปในวัฏฏะ ธรรมชาติมันพาเกิดพาตาย ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ พวกเราเกิดในธรรมะหมดแล้ว เพราะการเกิดการตายนี่เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง การเกิดการตายเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ผลไม่เท่ากันเพราะบาปบุญของคนไม่เท่ากัน เกิดมาเห็นไหม เราเป็นญาติกันโดยธรรม ทุกคนเกิดตายเหมือนกัน แต่การเกิดการตายของแต่ละคนไม่เท่ากัน ทุกคนเกิดตายเหมือนกันเป็นญาติกันโดยธรรม แต่การเกิดการตายไม่เท่ากัน ไม่เท่ากันที่ตรงสมองนี่ไง ตรงความรู้สึกความนึกคิด ตรงที่คนดีคนชั่ว มันไม่เท่ากันเพราะอะไรล่ะ นี่ไง มันไม่เท่ากันเพราะกรรมไง เพราะการกระทำ ทำดีทำชั่วมาไง พอทำดีทำชั่วขึ้นมาเห็นไหม มันถึงปิดบังฐานที่ตั้ง นี่ไง มันปิดบังฐานที่ตั้ง

ความคิด ความอ่าน กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันอาศัยฐานที่ตั้งออกไปหากินหาเหยื่อ มันใช้ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันใช้ความคิดเรากับร่างกายเราประกอบความดีและความชั่ว แล้วมันปิดตัวมันเองไว้ พอปิดตัวมันเองไว้เห็นไหม ดูสิเวลาเรามีความสลดสังเวช คนที่สร้างบุญกุศลมานะ มันจะถามตัวเอง เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร พอเกิดมาเพื่ออะไร แล้วมันจะหาทางออก มันจะไปหาที่ไหนล่ะ มันก็ต้องหาเข้ามาในศาสนา ถ้าหามาในศาสนามันก็มีความจงใจ มีความตั้งใจ มีความจงใจที่จะกระทำ ถ้าตัวเองกระทำปั๊บ ถ้าคนที่มีวุฒิภาวะ คนที่สร้างบุญกุศลมามากนะ เขาหาทางออกของเขาได้ ยิ่งมีธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ด้วยนะ เขาจะหาทางออกของเขาได้ แต่ถ้าคนที่หาทางออกไม่ได้ ก็มีครูมีอาจารย์คอยแนะนำ ถ้ามีครูอาจารย์คอยแนะนำ

นี่ไง หาอะไรกัน ก็หาชัยภูมิรบกับกิเลสไง หาชัยภูมิหาที่ตั้ง หาฐานความคิด ความคิดมันเกิดมาจากไหน ความสุข ความทุกข์ มันเกิดมาจากไหน เกิดมาแล้วมันตั้งอยู่บนอะไร แล้วจะล้มคว่ำแล้วจะจัดการกับมันอย่างไร เวลาจิตมันสงบเข้ามา มันเห็นหมดนะ พอจิตสงบมัน “อื้ม” ฐานที่ตั้งแห่งการงาน นี่ไง สัมมาสมาธิเป็นอย่างนี้ พอสัมมาสมาธิก็บอก เป็นฌานนะ โอ้โฮ พุทโธๆๆ มันจะเป็นฌาน ๒ ฌาน ๒ นี้ใช้ไม่ได้

ใครบอกว่าเป็นฌาน ๒ เราไม่ได้ทำฌานกันสักคนหนึ่ง พุทโธไม่ใช่ฌาน พุทโธไม่ใช่ฌาน พุทโธทำสัมมาสมาธิ ทำความสงบของใจ หาฐานที่ตั้งแห่งการงาน เขาไม่ได้ทำฌานกันหรอก ถ้าทำฌานเห็นไหมเขากำหนดของเขา ที่ว่าเพ่งกสิณต่างๆ รูปฌาน อรูปฌาน นั่นเขาทำฌานของเขา ไอ้นี่มันไม่ได้ทำฌาน ไอ้นี่ทำความสงบของใจ พุทโธ พุทโธ นี่ทำความสงบของใจ พุทโธ พุทโธ คือพุทธานุสติ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น เจอพุทธะที่ไหนฆ่าพุทธะที่นั่น เจอพุทธะคือใจ คือเจอกิเลส กิเลสมันอยู่ในชัยภูมินั้น ก็ต้องทำลายมัน ถ้าทำลายมันใจมันก็สะอาดขึ้นๆ ยิ่งทำยิ่งสะอาดขึ้นเห็นไหม เจอพุทธะที่ไหนฆ่าพุทธะที่นั่น แล้วเราเจอพุทธะหรือยังล่ะ มันเป็นเองนะ มันเป็นเอง

ถ้าเราเจอพุทธะนะ เรากำหนด พุทโธๆๆ เข้าไปนะ พุทโธ เป็นพุทธานุสติ พุทโธ พุทโธเป็นชื่อ แต่นี่พุทโธๆ เป็นความคิด ไม่ใช่พุทธะ พุทธะนี้เป็นพุทธะโดยสมมุติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กำหนดพุทโธ เราก็กำหนดพุทโธ มันสมมุติขึ้นมา เราเกิดมาโดยสมมุติ เรามีจริงตามสมมุติ ไม่ใช่กิเลสสมมุตินะ กิเลสจริงๆ พอมีกิเลสจริงๆ ขึ้นมา เรากำหนด พุทโธๆๆ เห็นไหม ความคิดของเรา มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก พุทโธๆๆๆ มันเป็นพุทธานุสติ ฟังสิ พุทธานุสติ มีสติด้วย ถ้าไม่มีสติมันจะกำหนดพุทโธไม่ได้ พุทธานุสติ พุทโธๆๆ ถ้ามันหดสั้นเข้ามาเห็นไหม หดสั้นเข้ามา มันจะว่างมาก ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ มันจะเย็นเล็กเย็นน้อย จงใจตั้งใจ มันสงบต่อหน้าความจงใจ ต่อหน้าความตั้งมั่น รู้จริงๆ อย่างนี้ “อื้อฮือ” มันรู้ซึ้งกับหัวใจมาก เห็นไหมชัยภูมิที่จะรบ รู้จากตัวของเราเอง สัมมาสมาธิเป็นแบบนี้

สัมมาสมาธิคือกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน การงานที่เราจะชำระกิเลส การงานที่เราจะเอาชนะตัวเราเอง หาตัวเองก็ไม่เจอ แล้วบอกว่า โอ้โหย มรรค ผล นิพพาน สิ้นกิเลสหมดเลย นั่นมันธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสิ้นนะ แต่เอ็งไม่สิ้นหรอก พระธรรมวินัยพระพุทธเจ้าพูดถึง มรรค ผล นิพพาน เหตุสมดุลแล้วทุกอย่างสมดุลแล้ว มันเป็นได้ตามความเป็นจริง แต่ตัวเราไม่จริงเพราะตัวเรา มันไม่ได้แก้ไขที่ฐานของใจ ไม่ได้แก้ไขที่ปฏิสนธิจิตที่เรามาเกิดมาตาย มันดันไปรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าหมดเลย แต่ตัวเองไม่รู้จักตัวเอง หาตัวเองไม่เจอ หาชีวิตไม่เจอ หาภพไม่เจอ หาสถานที่ไม่เจอ แล้วมันจะเป็นการประพฤติปฏิบัติจริงไหม มันเป็นสัญญาวิมุตติ

พวกเรานี้มันต้องเป็นเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติ สัญญาวิมุตติไม่มี สัญญาวิมุตติไม่มี สัจธรรมปฏิรูป ปัจจุบันนี้ทำสัญญาวิมุตติกัน อยากวิมุตติแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วเราบอกว่าเราไม่มีทุกข์ จริงหรือเปล่า จริงหรือเปล่า ไม่เชื่อเลย ทุกข์ในหัวใจล้นฟ้า ดูสิคนเราเกิดมาเห็นไหม จะมีศักยภาพขนาดไหน มั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกข์ไหม ทุกข์นี้เป็นสัจจะ ทุกข์นี้เป็นความจริง ทุกข์นี้เป็นสัจจะ อริยสัจจะเลย ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์ควรกำหนด ถ้าใครเข้าไปถึงสถานที่ชัยภูมินั้น ใครเข้าไปถึงภวาสวะ ภพนั้น เห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์มันเกิดที่นั่น

แต่ในปัจจุบันนี้พวกเราทุกข์ๆ ยากๆ กัน เราไม่เห็นทุกข์ เราเห็นผลที่เกิดจากทุกข์ ความเศร้าใจ ความเสียใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความทุกข์ มันเป็นผลของมัน มันเป็นวิบากแล้ว มันเกิดอารมณ์ความรู้สึกออกมาแล้ว เราถึงได้ทุกข์ แต่ทุกข์ควรกำหนด แต่เรากำหนดที่มันไม่ได้ เรากำหนดหามันไม่เจอ ทุกข์ควรกำหนด กำหนดด้วยอะไร กำหนดด้วยสติปัญญา กำหนดด้วยมรรค ทุกข์ควรกำหนด ถ้ามันวิเคราะห์วิจัย ทุกข์ควรกำหนด เห็นไหม สถานที่ตั้งแห่งการงาน ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์เกิดบนภพนี้ ทุกข์เกิดบนกรรมฐานนี้ ทุกข์บนฐานที่ตั้งนี้ ทุกข์มันอยู่ที่นี่ แล้วปัญญามันเข้าไปจับต้องได้ แล้ววิปัสสนาของมันเห็นไหม ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ สมุทัยควรละเห็นไหม อยากให้ทุกข์หาย อยากให้ทุกข์ไม่มี อยากให้ทุกข์ไม่มีจากโลก มันเป็นไปไม่ได้หรอก ทุกข์มันเป็นสัจจะ ทุกข์มันเป็นความจริง

ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การมีสถานะของจิตเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง เพราะมีสถานะของจิต มีสถานที่ของจิต กิเลสมารมันเลยขี้รดไง มันยังขี้รดบนจิตเรา มันขี้รด มันเหยียบย่ำ มันทำลาย เพราะมีสถานะ เพราะมีการเกิด เพราะมีจิต มันถึงทำลาย มันถึงทำความทุกข์ มันอยู่บนหัวใจของเรา มันอาศัยหัวใจของเรานี้หาเหยื่อ แล้วหาความพอใจของมัน แล้วมันก็ถ่ายความทุกข์ทิ้งไว้ แล้วมันก็หายไป เพราะมันเป็นนามธรรม กิเลสเป็นนามธรรมนะ แต่มันเกิดบนหัวใจเรา เพราะเป็นสถานที่อยู่ของมัน เห็นไหม มันถ่ายทุกข์ ถ่ายจากความเศร้าหมองไว้ให้เราเห็นไหม แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเข้าไป เราจับมันเห็นไหมทุกข์ เห็นไหมจับตัวทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะไม่อยากเป็น ทุกข์เพราะความผลักไส ทุกข์เพราะความไม่พอใจ เห็นไหม ทุกข์คือทุกข์ สมุทัยคือสมุทัย ตัณหาความทะยานอยากมันเกิดอย่างนี้

จิตเป็นขันธ์ เป็นกอง ทุกข์มันส่งออกไม่ได้ เวลาส่งออกมันต้องเป็นสมุทัย สมุทัยมันเป็นสัญญาอารมณ์ เป็นตัณหาความทะยานอยาก ไอ้ตัวจิตมันส่งออกไม่ได้

ไร้สาระ ไร้สาระสิ้นดีเลย ถ้ามันส่งออกไม่ได้ พลังงานมันมาจากไหน ! ถ้ามันส่งออกไม่ได้ ชีวิตนี้คืออะไร ! ถ้ามันส่งออกไม่ได้ มันตั้งบนอะไร ! มันเป็นตัวพญามาร มันเป็นเจ้าวัฏจักร มันไม่ได้ส่งออกเฉพาะชาตินี้นะ มันหมุนเวียนตายเวียนเกิดมาไม่มีต้นไม่มีปลาย มันทุกข์ยากมาขนาดไหน มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น มันเป็นมาโดยธรรมชาติ มันเป็นมาโดยปกติของมัน

แต่เพราะเราไปรู้เป็นเห็นเข้า เราถึงมีการแก้ไข เพราะเรารู้เราเห็นนะ เราไม่รู้จักตัวเราเลย เราไม่รู้จักสมาธิเลย เราดูถูกสติ เราดูถูกสมาธิ เราดูถูกทุกๆ อย่างเลย แล้วเราเข้าไปกราบไหว้วิงวอนธรรมของพระพุทธเจ้ากัน ธรรมอย่างนี้เป็นของพระพุทธเจ้า ต้องเข้ากับพระพุทธเจ้าแล้วมันจะมีปัญญา น่าสลดสังเวชพวกที่กำหนดพุทโธ น่าสลดสังเวชผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จิตดับเลย จิตว่างเลย มันเป็นไปไม่ได้ ความที่มันเป็นไปไม่ได้เพราะเขาเกิดเองเป็นเอง เขาถึงไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง มันรู้ที่มาที่ไป เห็นไหม คำว่าลัดสั้นของเขา พูดเสียยืดยาวเลย

แต่กรรมฐานของเราเห็นไหม จิตว่าง จิตดับ จิตมันดับจากกิเลส แต่ตัวมันยังไม่เคยดับ จิตมันดับไม่ได้ แต่มันดับจากกิเลส ดับจากความฟุ้งซ่าน ดับจากความทุกข์ พอความทุกข์มันยิ่งเจือจางไป มันดับความทุกข์ไป ทุกข์หยาบๆ ดับไปเรื่อยๆ มันจะมีอิสรภาพขึ้นเรื่อยๆ มันจะใสสว่างของมันเรื่อยๆ การฆ่ากิเลส การทำลายกิเลสเป็นมงคลอย่างยิ่ง การทำความสะอาดใจของเรา นี่คือผลบุญการกระทำของเรา ความเพียรชอบ เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มันจะทำของเราให้ประเสริฐขึ้นมา ทำใจของเราให้มีคุณงามความดีขึ้นมา ความดี ความดีของเรานะดีเพื่อดี ดีทิ้งเหว ดีเพื่อไม่ต้องการความพอใจของใคร ความดีเพื่อจะให้คนนับหน้าถือตา ความดีเพื่อจะให้คนอื่นเขายอมรับ ความดีเพื่อให้เขาเห็นด้วย มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะความดีของโลกเห็นไหม ดูสิ เขาสร้างภาพกัน เขาจะพยายามทำความดีของเขาเพื่อให้สังคมยอมรับ

แต่ความดีของเรา มันพุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่ในใจ มันเป็นการรู้ของเราอยู่คนเดียว แล้วใครเขาจะรู้ความดีของเราล่ะ เว้นไว้แต่ เทวดา อินทร์ พรหม เทวดา อินทร์ พรหมรู้หมดนะ เพราะจิตของคนเราเหมือนกระดาษขาว เขียนหนังสือลงไปมันก็จะเห็นตัวอักษรทันที จิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ความคิดบนจิต เขารู้หมดนะ ที่รู้วาระจิต รู้วาระจิต กำหนดจิตเห็นไหม จิตส่งออก จิตเคลื่อน จิตไหว ไร้สาระ

จิตคิดอะไรล่ะ จิตมีความรู้อะไรล่ะ ธรรมชาติของจิตเหมือนพลังงาน เหมือนเทียนพอจุดเทียนความร้อนมันธรรมดา จิตของคนมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไง จิตของคนธรรมชาติของจิต พลังงานมันส่งออกธรรมดา การส่งออก จิตทุกดวงคิดทุกดวง จิตทุกดวงคิดหมด ธรรมชาติของมันคือคิด คือการฟุ้งซ่าน ธรรมชาติของมันคือการส่งออก ธรรมชาติของพลังงานคือคลายตัวออก พลังงานมีความกดดันธรรมชาติของมัน พลังงานนี้มันกดดัน แล้วความเร็วของจิตเห็นไหม พลังงานของมัน แล้วบอกว่าโน่นคิดแล้วๆ คิดเรื่องอะไร คิดเรื่องอะไร แล้วคิดนี้ คิดดี คิดชั่ว ถ้ารู้วาระจิตต้องเป็นอย่างนี้ ไอ้นี่ๆ ส่งออกๆ มันเรื่องธรรมดา มันเรื่องเพราะอะไร เพราะมันเป็นสัญญามาแต่ต้น เพียงแต่คนมันหนา มันหนาของมัน มันแสดงออกมาด้วยความหยาบ ความหนา เพราะอะไร เพราะความจริงทุกคนรู้ตัวเองอยู่ ความจริงของคนรู้ตัวเอง ผิดชอบชั่วดี เรารู้ก่อนเพื่อน เราทำสิ่งใดไปไม่เป็นความจริง ตัวเองต้องรู้ก่อน เพียงแต่ว่ารู้แล้วเห็นไหม หมาห่มหนังเสือไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้คือเสือ แต่ตัวเองเป็นหมา เวลาเป็นหมามันจะขัดแย้งกัน ขณะที่หมามันเห่า มันจะคำรามแบบเสือไม่ได้

ถ้าคำรามแบบเสือเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเสือ แล้วธรรมของครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติแล้ว ผู้ใดที่ปฏิบัติแล้วมันจะเป็นเสือ เวลาคำรามขึ้นมา บันลือสีหนาท เสียงมันบันลือสีหนาท เสียงมันจะกังวาน แล้วมันจะเป็นเสียงเสือ เสียงเสือคือมันมีคุณธรรม เนื้อหาสาระมันจะไม่ขัดแย้งกัน หมาเวลามันเห่ามันหอนนะ

ดูสิ สติมันจะเกิดเอง เผลอปั๊บสติมาเอง พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน พระพุทธเจ้ามีแต่ให้ตั้งสติ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า ทำให้เผลอแล้วสติจะเกิดเองเห็นไหม ดูสิ เวลาหมามันเห่า สมาธิเห็นไหม สมาธิทำไปแล้วสมาธิจะเกิดเอง ก็หมามันเห่า ปัญญาจะเกิดเองนะจะเกิดเอง แล้วถ้าปัญญามันจะเกิดเอง มันต้องใช้ความจดจำไปเรื่อยๆ แล้วขณะจิตมันจะเกิด ขณะจิตเกิดได้หนเดียว เพราะขณะจิตเกิดปั๊บ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคาไป มันไม่จริง หมามันเห่า มันเลยขัดแย้งเห็นไหม

ถ้าบันลือสีหนาทนะ มันมีที่มาที่ไป เป็นโสดาบันเป็นอย่างไร จิตสงบอย่างไร แล้วจิตออกรู้ ในสติปัฏฐาน ๔ ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม พิจารณาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กาย เวทนา จิต ธรรม การพิจารณาเห็นไหม การพิจารณาคือการคายออกเห็นไหม การสำรอก สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิมานะของจิต จิตมันมีทิฏฐิมานะ เพราะมันสร้างบุญสร้างบาปมา มันมีความรู้ของมัน จิตจริตนิสัยมันเกิดในตัวของมันเอง

พลังงานไง จิตนี้เป็นพลังงาน พอพลังงานนี้มันมีข้อมูล พลังงานนั้นมันก็เป็นยางเหนียวในตัวของมัน ทีนี้เราเอามาพิจารณาเห็นไหม ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม จิตนี้ ภพ สถานที่ตั้งตัวจิตที่สงบมันออกพิจารณา พอออกพิจารณามันเห็นตามสัจจะความจริงเห็นไหม เวลาพิจารณาไปแล้ว สิ่งที่พิจารณามันจะมีการแปรสภาพ มันวิภาคะ ตั้งแต่อุคคหนิมิต วิภาคะ มันขยายส่วน แยกส่วน มันมีการทำลายของมัน มันมีการย่อยสลายของมัน จิตใจมันพิจารณาของมันเห็นไหม พอพิจารณาของมัน สักกายทิฏฐิ เพราะทิฏฐิเราเป็นอย่างนี้ ทิฏฐินะ จิตใต้สำนึกนะ ไม่ใช่ความคิดนะ

ความคิด เช่น อู๋ย ธรรมะ กายนี้ไม่ใช่เรา ชีวิตก็ไม่ใช่เรา เราเกิดมาชั่วคราว ชีวิตต้องตายหมด ปากเปียกปากแฉะ จ้อยๆ จ้อยๆ เลย แต่จิตใต้สำนึกไม่ยอมรับสักอย่างหนึ่ง กิเลสมันอยู่ที่จิตใต้สำนึก เวลาพิจารณาไป พิจารณาจิตสงบแล้วมีฐานที่ตั้ง พิจารณาของมันไปเห็นไหม พอพิจารณาไป ใช่ไหม กาย กายมันแปรสภาพ พอแปรสภาพ จิตมันเห็น มันก็อึ้งสิ สรรพสิ่งนี้เป็นของเรา ของเราทำไมมันทำลายไปต่อหน้าล่ะ มันทำลายไปเดี๋ยวนี้ล่ะ มันสอนใจเรื่อยๆ มันสำรอก มันคายออก คายอะไร คายความเห็นผิดไง สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดของกายไง พิจารณาเวทนา พิจาณาจิต พิจารณาธรรม เหมือนกันหมด พิจารณาเวทนา เจ็บปวดนัก เดี๋ยวเวทนาลอยมานะ เวทนาเป็นนามธรรมใช่ไหม เดี๋ยวก็เจ็บไข้ได้ป่วย เดี๋ยวก็เจ็บโน่นเจ็บนี่ แล้วพอรักษาหาย มันก็หาย เวลานั่งเมื่อย พลิกมันก็หาย แล้วเวทนาเป็นอะไรล่ะ

ถ้าเป็นหมานะ หมามันบอกว่าเวทนามันก็เป็นไตรลักษณ์ไง เวทนาก็ไม่ใช่เราไง เพราะจิตมันมีสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดของมันอยู่แล้ว แต่อ้างธรรมะพระพุทธเจ้าไง ก็พระพุทธเจ้าว่ามันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่เป็นเราหรอก มันปล่อยไว้ได้หมดล่ะ มันปล่อยที่ธรรมะพระพุทธเจ้า มันปล่อยที่ตำรา แต่ใจมันไม่ปล่อย ใจมันปล่อยไม่ได้หรอก ใจไม่ปล่อยเพราะอะไร ตัวใจเองมันไม่ได้ออกวิปัสสนา เพราะอะไรเพราะสมาธิมันเกิดเอง สมาธิมันเกิดเอง มันไม่ใช่สมาธิ มันเข้าไม่ถึงจิต นี่ไงที่ว่า ตัดรากเหง้า มันตัดรากเหง้านะ ดูจิต อภิธรรม นามรูป มันอันเดียวกัน นามรูปคือความคิด นามรูปคือความคิด เพราะคิดเป็นนามรูป จิตก็เป็นความคิด ความคิดมันไม่ใช่จิต แล้วไปดูที่นามรูปดับ มาดูที่จิตดับ พอดูจิตไป ดูอย่าฝืนมัน ปล่อยมันไป ถึงที่สุดแล้ว มันจะเป็นเอง นี่ไงพอเป็นเอง มันก็หายไปเลย แล้วตัวจิตล่ะ

แต่ถ้าใช้พุทโธๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่ ใครเป็นคนคิดล่ะ สติก็เกิดจากจิต ทุกอย่างเกิดจากจิต สติไม่ใช่จิต ปัญญาก็ไม่ใช่จิต สมาธิก็ไม่ใช่จิต จิตเป็นจิต สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญา สติเป็นสติ มันคนละเรื่องกันหมดเลย มันเป็นอนิจจัง มันเกิดขึ้นมาด้วยการฝึกฝน มันเกิดดับๆๆ เกิดขึ้นมาแล้วฝึกฝนมาก็เป็นอนิจจัง มันเกิดดับใช่ไหม แต่พอเรามีสติ สติมาจากจิต ความระลึกรู้มาจากจิต กำหนดพุทโธมาจากจิต พุทโธ พุทโธมันก็หดสั้นเข้ามา หดสั้นเข้ามา หดสั้นเข้ามาถึงตัวจิตเห็นไหม พอถึงตัวจิตเห็นไหม ที่ไหนมีจิตที่นั่นมีอารมณ์ ใช่ มันเป็นสอง ความคิดมันเกิดจากจิต พอพุทโธๆ ความคิดมันละเอียดเข้ามา จนจิตมันนึกพุทโธไม่ได้นะ นึกพุทโธไม่ได้เลย นี่ไงพอนึกพุทโธไม่ได้ มันเข้าถึงฐาน มันเข้าถึงราก นี่ไง รากคือตัวภพ รากคือตัวจิต พอตัวจิตตัวนี้มันมีสักกายทิฏฐิ มันมีความเห็นผิด ตัวจิตมันไม่มีความคิดเห็นไหม พอวิปัสสนาไป จิตมันเห็นจิตมันรู้ มันเป็นธาตุรู้ แล้วธาตุรู้มันเข้าไปในธาตุรู้มันก็จางลง จางลง จางโดยวิปัสสนาญาณนะ มันไม่ได้จางลงแบบหมา เดี๋ยวหมามันจะเห่าอีก มันจางของมันไปเห็นไหม ดูสิการกระทำตามสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริง

เวลาพิจารณาดูจิตเขาว่า มีคนมาถามบ่อย บอกว่าเราพูดว่า หลวงตาดูจิตเหมือนกัน เขาก็อ้างว่าดูจิตเหมือนกัน ไม่ใช่ หลวงตาท่านเรียนของท่านมา ท่านเรียนของท่านจนเป็นมหา แล้วท่านออกประพฤติปฏิบัติไปอยู่ที่จักราช ท่านบอกว่าปฏิบัติใหม่ๆ ยังไม่เจอหลวงปู่มั่น ท่านก็กำหนดจิตของท่านก็เหมือนดูจิตกำหนดจิต แล้วกำหนดจิต แล้วจิตเสื่อมไป ๑ ปีกับ ๖ เดือน แล้วพอไปอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ พยายามฝึกพุทโธๆๆ ขึ้นมา จิตมันฟื้นขึ้นมา

การดูจิตของหลวงตาคือดูผิดไง ดูแล้วเห็นผิดท่านถึงทิ้งมาแล้ว หลวงตาที่ปฏิบัติที่ท่านดูจิต แล้วที่เสื่อมไปปีกับ ๖ เดือนนั่น ท่านดูมา ดูจิตมาแล้ว เพราะอะไร เพราะเรียนจบมา แล้วยังไม่ได้เข้าไปหาหลวงปู่มั่น แล้วพอปฏิบัติแล้ว ถึงทิ้งมันไป แล้วท่านก็สอนสติ สอนพุทโธตลอดไง เพราะมันผิด คนเราปฏิบัติเห็นไหม ก็มีผิดมีถูกทั้งนั้น แล้วถ้าคนปฏิบัติแล้วถ้ามันผิดแล้วนะ สิ่งนี้ผิด ผิดหมายความว่า ท่านดูจิตเห็นไหม ดูจิตมาแล้วเป็นสมาธิได้ แต่ไม่มีคำบริกรรม ไม่มีจุดยืน จิตไม่มีจุดยืน เวลามันเสื่อมหรือมันมีปัญหา คนไม่มีจุดยืนมันจะแก้ไขไม่ได้

อย่างของเรานี้ เห็นไหมสินค้าเราสินค้าปลอม เราซื้อมาใช้แล้วทิ้งเลย แต่ถ้าสินค้าที่มาจากบริษัท สินค้าที่เขามีใบรับรอง เสียหายเขาเอาไปซ่อมแซมได้ คำบริกรรมนี้มันมาจากจิต เป็นพุทธานุสติ คนเราปฏิบัติ สมาธินี้เป็นอนิจจังนะ สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง แล้วถ้าอนิจจังมันเกิดขึ้นมาแล้ว เวลาพุทโธๆๆ เป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว แล้วเกิดมันเสื่อมไป เกิดมันไม่แน่น ก็กลับมาพุทโธได้ เห็นไหม มันมีที่มาที่ไป สินค้าชำรุดเสียหายมีที่ซ่อมแซมได้ นี่ไง คำบริกรรม มันมีจุดยืน จิตมีจุดยืน จิตมีที่ตั้ง ปัญญาอบรมสมาธิก็มีจุดยืน เพราะมันออกมาจากจิต มันไม่ตัดรากเหง้าของจิต

แล้วหมามันไปเห่ากันเองไง นามรูป ดูจิต เขาว่าดูจิต แต่ความจริงคือนามรูป ความจริงคือความคิดไง เขาดูความคิด เขาไม่ดูจิตเพราะอะไร เขายังไม่เห็นจิต เขายังไม่รู้จักจิต ถ้ารู้จักจิต เขาจะบอกว่า มันเกิดเอง ได้อย่างไร สมาธิจะเกิดเองนะ พอสมดุลสมาธิจะเกิดปั๊บเลย มันเกิดเองทุกอย่างเกิดเองหมด ถ้าจงใจผิดหมด มันจะต้องปล่อยไปจนเกิดเองตามธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมดา มันเกิดเอง แล้วปัญญาก็เกิดเอง อัตโนมัติหมดเลย นี่ไง แล้วจิตอยู่ไหน เพราะเขาไม่รู้จักจิต เขาไม่รู้จักสมาธิ เขาไม่รู้จักอะไรเลย แต่พูดธรรมะนะ พูดธรรมะไปจ้อยๆ

แล้วเขาก็อ้างว่าหลวงตาก็ดูจิตเหมือนกัน ดูจิตโดยความผิดพลาด ดูจิตแล้วมันผิด ท่านก็เลยมากำหนดพุทโธ แล้วพอกำหนดพุทโธ เราเป็นอาจารย์นะ เราเป็นพ่อแม่คน เราทำความผิดพลาดมาเราจะสอนลูกเราทำไหม เราเคยผิดพลาดมา อย่างเราเคยผิดพลาดไป เคยไปติดยา เคยไปทำตัวเสียหาย เราจะบอกให้ลูกติดยาเลย ติดยาดี ลูกไปทำตัวให้เสียหายดี เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้

ฉะนั้น ท่านไม่เคยเห็นด้วย ไม่เคยรับรอง ไม่เคยมีอุดมการณ์อย่างนั้นเพราะท่านเคยผิดพลาดมา ท่านพูดบ่อยว่าเราดูจิตมา จนจิตเสื่อมไปปีกับ ๖ เดือน แล้วเรากลับมาพุทโธๆ มันคือความผิดพลาด แล้วท่านทิ้งไป แล้วมาทำใหม่ แล้วท่านจะไปรับรองสิ่งที่ท่านทำผิดมามันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นคนที่ผ่านวุฒิภาวะ แล้วท่านผ่านมาขนาดนี้นะ

ในการปฏิบัติของเรา เราต้องทำให้เป็นความจริง ให้มันเป็นปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ ไม่ใช่สัญญาวิมุตติ อันนี้เป็นสัญญาหมดแล้ว ไม่มีหรอก สัญญาวิมุตติไม่มี มีแต่เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ นี่คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง